ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
Central Laboratory and Greenhouse Complex
ทรัพยากรพืชพรรณฯ
 
ขลู่ ขลู่
ขลู่
 
ขลู่
ชื่ออื่นๆ: ขี้ป้าน (แม่ฮ่องสอน), หนาดวัว, หนาดงัว, หนวดงั่ว, หนวดงิ้ว (อุดรธานี), ขลู, คลู (ภาคใต้),
เพี้ยฟาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หลวนซี (จีนกลาง) และ หล่วงไซ (แต้จิ๋ว)
ชื่อสามัญ: Indian Marsh Fleabane
THAILAND: Khlu, Nuat ngua, naat wua.
CAMBODIA: Pros anlok.
CHINA: Ge za shu LAOS: Nat luat.
INDONESIA: Beluntas (Indonesian), luntas (Javanese), baruntas (Sundanese).
MALAYSIA: Beluntas, Beluntas paya.
PAPUA NEW GUINEA: A'apu.
VIETNAM: C[us]c t[aaf]n, l[as] l[uws]c.
ชื่อวิทยาศาสตร์: Pluchea indica (L.) Less.
วงศ์: ASTERACEAE (COMPOSITAE)
ถิ่นกำเนิด: คาบสมุทรอินโดจีน เช่น ไทย มาเลเซีย จีน เวียดนาม ปาปัวนิวกินี เป็นต้น
ลักษณะทั่วไป: ไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 1-2 ม.
ฤดูการออกดอกติดผล: ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์: ปักชำและเพาะเมล็ด
ข้อดีของพันธุ์ไม้: เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินเค็ม หรือพื้นที่ชายทะเล
ข้อแนะนำ: เป็นพันธุ์ไม้ที่ต้องการความชื้นสูงจึงจะเจริญเติบโตได้ดี พื้นที่เหมาะกับการปลูกคือ พื้นที่มีความชื้นสูง อาจจะเป็นพื้นที่ริมน้ำต่างๆ ริมทางระบายน้ำ
ข้อมูลอื่นๆ: ปัจจุบันได้มีการศึกษาที่แสดงถึงฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากใบขลู่ ในด้านการต้านทานอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านเซลล์มะเร็ง แต่การบริโภคใบขลู่สดหรือดื่มชาขลู่ในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลเสียต่อสุขภาพของร่างกายได้เช่นกัน การดื่มชาขลู่อาจทำให้รู้สึกตัวเบา เนื่องจากใบขลู่มีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ มีผลทำให้ปัสสาวะบ่อย หลักการดื่มชาขลู่เพื่อเสริมสร้างสุขภาพก็คล้ายกับการดื่มชาจีน ชาเขียว และชาสมุนไพรชนิดอื่นๆ คือ ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะสมควรต่อวัน (1-2 แก้วต่อวัน) ดื่มระหว่างมื้ออาหาร และไม่ดื่มชาที่เหลือค้างคืน ทั้งนี้ควรสังเกตการณ์ตอบสนองของร่างกายว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีควรงดการดื่ม

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับชาขลู่ มีดังนี้
1. ปริมาณการซื้อในแต่ละครั้งควรซื้อในปริมาณที่สามารถบริโภคหมดภายในสี่เดือน เพราะสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลาการเก็บ สังเกตได้จากสีของชาขลู่จะเปลี่ยนเป็นสีออกเหลือง เนื่องจากเกิดการสลายตัวของรงค์วัตถุสีเขียวคลอโรฟิลล์ ทำให้เห็นสีเหลืองของรงค์วัตถุสีเหลืองกลุ่มคาร์โรทีนอยด์ที่มีความเสถียรมากกว่า
2. ควรเก็บชาขลู่ในภาชนะทึบแสงและปิดสนิท เพื่อกันการสลายตัวของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเนื่องจากแสง และกันการได้รับความชื้น ซึ่งอาจทำให้มีการเจริญของเชื้อราได้ การเตรียมชาขลู่จากใบชาขลู่สดหรือแห้ง ควรเป็นการต้มในน้ำใกล้เดือดและต้มนานอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้สามารถสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพให้ได้มากเพียงพอ
 
หมายเหตุ:
ขลู่เป็นพืชวงศ์เดียวกับเบญจมาศน้ำเค็ม สาบเสือ เก๊กฮวย ดาวเรือ ทานตะวัน และบานชื่น เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามลำพังทั่วไป โดยเฉพาะที่มีน้ำเค็ม ขึ้นตามพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ ริมห้วยหนอง ตามหาดทราย หรือป่าชายเลน พบได้ในเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศอินเดีย ฟิลิปินส์ มาเลเซีย และประเทศไทย

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ขลู่จะมีลักษณะเป็นพุ่มเป็นกอ ซึ่งที่สามรถจำได้ว่าพืชชนิดนี้คือขลู่ ขลู่เป็นพืชที่อยู่ในน้ำเค็ม แต่ก็ยังสามารถนำมาเป็นสมุนไพรได้ มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง และขลู่เป็นพืชที่สามารถหาได้ง่ายในทุกๆ เขตพื้นที่ที่มีอากาศร้อนชื้น

ส่วนที่ใช้: ทั้งต้นสด หรือแห้ง เปลือก ใบ เมล็ด ดอก (นิยมใช้เฉพาะใบ)
 
รสและสรรพคุณของใบชา
  ตำรายาไทย  ต้น สมุนไพรขลู่เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูง 0.5-2 ม. แตกกิ่งก้านมากและเกลี้ยง                                                                                
ทั้งต้นสด หรือแห้ง สามารถปรุงเป็นยาต้มรับประทานเพื่อขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วในไตได้ สามารถแก้ปัสสาวะพิการ แก้วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลือง เป็นยาช่วยย่อย สามารถแก้ริดสีดวงทวารหนักและริดสีดวงจมูก ใช้ ใบ รสหอมฝาดเมาเค็ม เป็นยาขับปัสสาวะ แก้เบาหวาน ขับนิ่ว นำใบสดแก่ นำมาตำแล้วบีบเอาน้ำ ทาตรงหัวริดสีดวงทวาร ทำให้หัวริดสีดวงหดหายไป แก้กระษัย ยาอายุวัฒนะ สมานภายนอกและภายใน แก้ไข้ ขับเหงื่อ นำใบมาตำผสมกับเกลือกินรักษากลิ่นปาก และระงับกลิ่นตัว นำใบมาต้มดื่มแทนชาลดน้ำหนัก บรรเทาอาการปวดเมื่อย มุตกิด น้ำคั้นจากใบสดรักษาริดสีดวงทวาร ใบต้มน้ำอาบแก้ผื่นคัน บำรุงประสาท เป็นยาบีบมดลูก น้ำคั้นใบสดรักษาริดสีดวงทวาร โรคบิด ใบและต้นอ่อน บรรเทาอาการปวดข้อ ในโรคไขข้ออักเสบ รักษาประดง เลือดลม ตำผสมกับแอลกอฮอล์ ทาหลังบริเวณเหนือไต บรรเทาอาการปวดเอว ต้มน้ำอาบรักษาหิด ขี้เรื้อน

ใบและราก เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ขับเหงื่อ พอกแก้แผลอักเสบ ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำอาบรักษาเส้นตึง และทำเป็นขี้ผึ้งทาแผลเรื้อรัง เปลือกต้น นำมาสับเป็นชิ้นมวนบุหรี่สูบแก้โพรงจมูกอักเสบ (ไซนัส) ดอก รสหอมฝาดเมาเค็ม แก้นิ่ว ราก รสหอมฝาดเมาเค็ม แก้กระษัย ขับนิ่ว ทั้งต้น รสหอมฝาดเมาเค็ม ใช้ต้มกินรักษาอาการขัดเบา แก้นิ่วในไต ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ริดสีดวงทวาร แก้มุตกิดระดูขาว แก้ตานขโมย แก้เบาหวาน รักษาวัณโรคที่ต่อมน้ำเหลือง ต้มอาบ แก้ผื่นคัน แก้ประดง เลือดลม และแก้โรคผิวหนัง เปลือกต้น รสเมาขื่นหอม แก้ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร แก้กระษัย ขูดเอาขนออกให้สะอาด ลอกเอาแต่เปลือก หั่นเป็นเส้นมวนสูบ แก้ริดสีดวงจมูก หรือต้ม รมริดสีดวงทวารหนัก

เปลือกใบเมล็ด สามารถแก้ริดสีดวงทวารและริดสีดวงจมูก แก้กระษัย สามารถเป็นยาอายุวัฒนะได้ ใบ มีกลิ่นหอม สามารถต้มน้ำดื่ม แทนเป็นน้ำชา เพื่อลดน้ำหนัก แก้ปวดเมื่อย ขับระดูขาว แก้แผลอักเสบ และต้มน้ำอาบบำรุงประสาท สำหรับแก้แผลอักเสบ อาจใช้ใบสดตำพอกบริเวณที่เป็น แก้ริดสีดวงทวาร ยาอายุวัฒนะ  ดอก แก้โรคนิ่ว
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ขลู่สามารถขับปัสสาวะ สามารถลดอาการปวดบวมตามร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักได้ สามารถรักษาโรคริดสีดวงทวาร สามารถรักษาโรควัณโรคต่อมน้ำเหลือง สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อย สามารถบำรุงประสาท รักษาหิดขี้เรื้อน รักษาโรคไขข้ออักเสบ และอื่นๆ อีกมากมาย

 3. สรรพคุณและการนำไปใช้เป็นยาสมุนไพรสำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน
  สามารถใช้เป็นยารักษาอาการขัดเบา วันละ 1 กำมือ (สดหนัก 40-50 กรัม แห้งหนัก 15-20 กรัม) หั่นเป็นชิ้นๆ ต้มกับน้ำดื่ม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (หรือ 75 มิลลิลิตร)

 4. วิธีและปริมาณที่ใช้
  เป็นยาแก้อาการขัดเบา
ใช้ทั้งต้นขลู่ 1 กำมือ (สดหนัก 40-50 กรัม แห้งหนัก 15-20 กรัม) หั่นเป็นชิ้นๆ ต้มกับน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร

เป็นยาริดสีดวงทวารริดสีดวงจมูก
ใช้เปลือกต้น ต้มน้ำ เอาไอรมทวารหนัก และรับประทาน แก้โรคริดสีดวงทวาร หรือใช้เปลือกต้น (ขูดเอาขนออก) แบ่งเป็น 3 ส่วน
      ส่วนที่ 1 นำมาตากแห้งทำเป็นยาสูบ
      ส่วนที่ 2 นำมาต้มน้ำรับประทาน
      ส่วนที่ 3 ต้มน้ำเอาไปรมทวารหนัก
เปลือกบางของต้นขูดขนออกให้สะอาด ทำเป็นเส้นตากแห้ง คล้ายเส้นยาสูบ แก้ริดสีดวงจมูก

การใช้ขลู่ในใบชาลดความอ้วน !
การใช้ยาขับปัสสาวะในทางการแพทย์นั้น มักใช้เพื่อลดความดันโลหิต และเพื่อลด
อาการบวมน้ำ อาจมีที่ใช้ในกรณีอื่นอีกบ้าง แต่แพทย์ไม่ใช้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลด
ความอ้วน สมุนไพรที่ใช้ชื่อว่า ใบชาลดความอ้วนทั้งหลาย มักมีสมุนไพรที่มีฤทธิ์
ขับปัสสาวะอยู่ด้วย เมื่อแพทย์ไม่ใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดความอ้วน ทำไมผู้ที่มิใช้
แพทย์จึงใช้สมุนไพรขับปัสสาวะเพื่อลดความอ้วน? (ข้อนี้โปรดใช้วิจารณญาณ)
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วิธีการทำและปริมาณในการใช้ชาขลู่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย
ซึ่งมีวิธีการทำที่สามารถทำเองได้ และปริมาณที่ใช้ก็สามารถดูได้ตามความเหมาะสม

 5. ข้อมูลทางเภสัชวิทยาอื่นๆ 
  ฤทธิ์ขับปัสสาวะ นัทพร นิลวิเศษ และคณะได้ศึกษาฤทธิ์ขับปัสสาวะของขลู่พบว่า
รูปแบบ 5% และ 10% ของยาชงขลู่ (ยาชง 5% ทำได้โดยชั่งขลู่ 5 กรัมใส่ลงใน
ภาชนะแก้วหรือเคลือบที่ทนความร้อนได้ รินน้ำเดือดลงไปประมาณ 100 มิลลิลิตร
ปิดฝาตั้งทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงรินและคั้นน้ำออกกรองให้ได้น้ำยา 100 มิลลิลิตร)
ทดลองฤทธิ์ขับปัสสาวะในหนูขาว และในอาสาสมัครที่มีสุขภาพปกติโดยเปรียบเทียบ
กับยา hydrochlorothiazide พบว่ายาชงขลู่มีผลเพิ่มปริมาณปัสสาวะ และถ้าเพิ่ม
ปริมาณความเข้มข้นก็จะมีผลเพิ่มปริมาณปัสสาวะมากขึ้น

ฤทธิ์ต้านการอักเสบ SenT. และคณะ (ค.ศ. 1991) ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ต้าน
การอักเสบ (antiinflammatory) ของสารสกัดจากรากขลู่พบว่าสารสกัดจากรากขลู่
สามารถต้านการอักเสบได้ โดยสามารถยับยั้งอาการบวมของอุ้งเท้าหนูที่เกิดจากการฉีด
carragenin, histamine, serotonin, hyaluronidase และ sodium urate
โดยสารสกัดจะยับยั้งกระบวนการที่โปรตีนลอดออกจากหลอดเลือด (exudation) และ
การเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวไปยังบริเวณอักเสบ (leucocyte migration)

ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Sen T. และคณะ (ค.ศ. 1993) ได้ทำการศึกษากลไกการต้าน
การอักเสบ และการต้านการเกิดแผลในกรเพาะอาหาร ของสารสกัดจากรากขลู่ (Pluchea
indica Less root extract: PIRE) ที่คาดว่ามีกลไกเกี่ยวข้องกับ 5-lipoxygenase
pathway ซึ่งเป็นกระบวนการสังเคราะห์โพรสตาแกลนดิน (prostaglandin) ผลการ
ศึกษาพบว่า PIRE สามารถต้านการอักเสบที่เกิดจาก arachidonic acid, platelet
activation factor และสารประกอบ 48/80 ซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่อุ้งเท้าสัตว์
ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้สามารถยับยั้งสารประกอบ 48/80 เหนี่ยวนำให้เกิดการ
หลั่งสารฮีสตามีน (histamine) จาก Mast cell ได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนผลต่อการเกิด
แผลในกระเพราะอาหาร พบว่าสามารถป้องกับการเกิดแผลจากยา indomethacin,
เหล้า และ indomethacin ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดปริมาณ และความเป็นกรด
ของกระเพาะอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฤทธิ์การปกป้องตับ Sen T. และคณะ (ค.ศ. 1993) ได้ทำการศึกษาฤทธิ์การปกป้องตับ
ของสารสกัดจากขลู่ ในหนูที่ตับบาดเจ็บเฉียบพลัน (acute liver damage) จากการ
เหนี่ยวนำของสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ (carbontetrachloride: CCl4) พบว่าสามารถ
ลดระดับเอนไซม์ aspartate amino tranferase (AST), alanine amino tranferase
(ALT), lactate dehydrogenase (LDH), serum alkaline phosphatase (ALP)
และ bilirubin ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สารสกัดจากขลู่ สามารถลดระยะเวลาการนอนหลับของหนูที่ได้รับ pentobarbitone ได้อย่างมีนัยสำคัญ และลด plasma prothrombin time ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ CCl4

ฤทธิ์ป้องกันทางเดินอาหารบาดเจ็บ Sen T. และคณะ (ค.ศ. 1996) ได้ทำการศึกษา
ฤทธิ์สารสกัดจากขลู่ ในการยับยั้งปัจจัยกระตุ้นเกร็ดเลือด (platelet activation
factor: PAF) และยับยั้งการเกิดกระเพาะอาหารเสียหาย (gastric demage)
พบว่าการให้สารสกัดจากขลู่ สามารถยับยั้งการอักเสบ และอุบัติการเกิดกับทางเดิน
อาหารส่วนล่างเสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฤทธิ์ต่อระบบประสาท Thongpraditchote S. และคณะ (ค.ศ. 1996) ได้ทำการศึกษา
ฤทธิ์ของสารสกัดจากรากขลู่ (Pluchea indica Less root extract: PI-E) ต่อระบบ
ประสาทในหนู พบว่าหนูที่ได้รับ PI-E ขนาด 50-100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้โดยการกิน
มีการทำงานของระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนที่ (locomotor) ทำงานเพิ่มขึ้น และลด
ระยะเวลาการนอนหลับของหนูที่ได้รับ pentobarbital ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ และ
ขึ้นกับขนาดที่ได้รับ (dose dependent)

นอกจากนี้พบว่า ฤทธิ์ของ PI-E ที่ให้ในหนูที่ได้รับ pentobarbital จะลดลงเมื่อได้รับ flumazenil (1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้ทางหลอดเลือดดำ) อย่างมีนัยสำคัญ และ PI-E
(50-100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) และ diazepam (0.5-5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) สามารถลด
พฤติกรรมก้าวร้าวได้ตามขนาดที่ได้รับ (dose dependent) โดยกลไกการออกฤทธิ์ของ
PI-E เกี่ยวข้องกับระบบ GABA system ในสมอง แต่อย่างไรก็ตาม PI-E ไม่มีฤทธิ์ระงับ
การชักที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของ pentyleneterazole

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ Sen T. และคณะ (ค.ศ. 2002) ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูล
อิสระจากสารสกัดจากรากขลู่ (Pluchea indica Less root extract: PIRE) ในหลอด
ทดลองและสัตว์ โดยใช้ คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (carbontetrachloride: CCl4)
เหนี่ยวนำให้เกิดกระบวนการสลายไขมัน (lipid peroxidation) และการเปลี่ยนแปลง
arachidonic acid จากเอนไซม์ lipoxygenase ซึ่ง 2 กระบวนการนี้ก่อให้เกิดอนุมูล
อิสระขึ้น ผลการศึกษาพบว่า PIRE สามารถลดการอักเสบ และการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้พบว่า PIRE สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้มากกว่า B755c และ phenidone (สารต้านอนุมูลอิสระ) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฤทธิ์ยับยั้งจุลชีพ Biswas R. และคณะ (ค.ศ. 2005) ได้ทำการสกัด และประเมินสารประกอบที่พบในขลู่ และความแรงในการต้านเชื้อจุลชีพพบว่า ค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ (minimum inhibitory concentration: MIC) ของสารสกัดขลู่ต่อเชื้อ Staphylococcus aureus ML 11, S. aureus ML 358, S. aureus NCTC 6571, S. aureus 8530, Salmonella trphi 59, S. typhimurium NCTC 74, Shigella boydii 8 NCTC 254/66, S. dysenteriae 7 NCTC 519/66, Vibrio cholerae 214, Vibrio cholerae 14033, Bacillus lichenniformis, Escherichia coli ATCC 25938, Klebsiella pneumoniae 725, K. pneumoniae 10031 และ Pseudomonas aeruginosa 71 คือ 1500, 2000, > 2000, 1000, 1500, 1500, 1500, 1500, 1000, 1500, > 2000,
1500, > 2000, 2000 และ 2000 นาโนกรัม/มิลลิลิตร

6. ข้อมูลทางคลินิก 
  ฤทธิ์ขับปัสสาวะ Muangman V และคณะ (ค.ศ. 1998) ได้ทำการศึกษาการให้สารสกัดผงแห้งจากขลู่ (สารสกัด 3.6 กรัม บรรจุในแคปซูล 12 แคปซูล) ครั้งเดียว (single dose) แก่อาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 15 คน และได้สุ่มผู้ป่วยอีก 30 คน (อาจเป็นนิ่วที่ไตด้วยหรือไม่ก็ได้) ให้รับประทานยาขับปัสสาวะ (hydrochlorothiazide: HCT 50 มิลลิกรัม) เพื่อใช้เป็นกลุ่มควบคุมและเปรียบเทียบและวัดปริมาณปัสสาวะที่ 6 ชั่วโมง ผลพบว่ามีอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 8 คน (53%) และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการสุ่ม 7 คน (23%) ตอบสนองต่อฤทธิ์การขับปัสสาวะของขลู่ ส่วนจำนวนผู้ที่ตอบสนองต่อยาขับปัสสาวะ HCT ในอาสาสมัครสุขภาพดี 87% และในผู้ป่วย 67% จากผลการศึกษาจำนวนผู้ตอบสนองต่อสารสกัดจากขลู่น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับ HCT
เอกสารอ้างอิง:
1. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2542  หน้า 168
2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Database, The Botanical Garden Organization
3. http://thaiherbal.org/1784
4. http://chakloomadeinthai.blogspot.com/2014/02/2.html
รวบรวมโดย: นพพล เกตุประสาท (087-166-5251)
หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม