|
เจตมูลเพลิงแดง |
ชื่ออื่นๆ: |
ปิดปิวแดง (ภาคเหนือ) คุยวู่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ตั้งชู้โว้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ไฟใต้ดิน (ภาคใต้) อุบะกูจ๊ะ (มลายู-ปัตตานี) จื่อเสี่ยฮวา, หงฮวาตัน (จีนกลาง) และ เจ็ดหมุนเพลิง |
ชื่อสามัญ: |
Indian Leadwort, Rose-colored Leadwort, Rosy Leadwort, Fire Plant, Official Leadwort |
ชื่อวิทยาศาสตร์: |
Plumbago indica L. ชื่อพ้องอื่นๆ Plumbago rosea L. |
วงศ์: |
PLUMBAGINACEAE |
ถิ่นกำเนิด: |
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เป็นต้น |
ลักษณะทั่วไป: |
เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุหลายปี สูงราว 1-1.5 ม. กิ่งก้านมักทอดยาว ยอดอ่อนสีแดง ลำต้น กลมเรียบ กิ่งอ่อนสีเขียวปนแดง มีสีแดงบริเวณข้อ ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน รูปไข่ กว้าง 3-5 ซม. ยาว 8-13 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน มีสีเขียว ใบบาง แผ่นใบมักบิด ก้านใบและแกนกลางใบอ่อนมีสีแดง ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงลด ยาว 20-90 ซม. ก้านช่อดอกยาว 1-3 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมาก ประมาณ 10-15 ดอก ดอกออกเป็นช่อตั้งขึ้นที่ปลายกิ่งหรือปลายยอด กลีบดอกสีแดงสด กลีบบางมี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กๆ ยาว 2.5-3.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปไข่กลับ ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายกลีบกลม เป็นติ่งหนามตอนปลาย ใบประดับย่อยรูปไข่ขนาดเล็ก ยาว 0.2-0.3 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดตรงข้ามกลีบดอก อับเรณูยาวประมาณ 2 มม. รังไข่รูปรี ก้านเกสรเพศเมียมีหลายขนาดมีขนยาวที่โคน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปใบหอก เป็นหลอดเล็ก ยาว 0.5-1 ซม. สีเขียว และมีขนเหนียวๆปกคลุม เมื่อจับรู้สึกเหนียวมือ ผล ลักษณะเป็นฝักกลม ทรงรียาว เป็นผลแห้งเมื่อแก่แตกตามร่องได้ พบตามป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณทั่วไป ป่าดิบแล้ง ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ไหม้ พอง เหมือนโดนไฟจึงได้ชื่อว่า "เจตมูลเพลิง" |
ฤดูการออกดอกติดผล: |
ปีละ 1 ครั้งในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน |
การขยายพันธุ์: |
|
การชำส่วนของลำต้น คือการตัดส่วนของยอดและส่วนของลำต้น ประมาณ 2 นิ้ว หรือ 2 ข้อของลำต้น นำมาชำด้วยวัสดุปักชำขี้เถ้าแกลบใช้เวลาประมาณ 45-50 วัน จะสามารถนำไปปลูกลงถุงเพื่อเลี้ยงให้ต้นแข็งแรงก่อนนำไปปลูกในแปลง วิธีนี้จะได้ผล 40-50% |
|
การชำราก คือการตัดส่วนของรากที่อยู่ใต้ดินนำมาชำกับวัสดุปักชำตัดรากยาวประมาณ 2 นิ้ว ใช้เวลา 60-90 วันจะเริ่มแตกยอดและรากใหม่ 6 เดือนพร้อมปลูกได้ วิธีนี้จะได้ผล 80-90% |
|
ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้เชี่ยวชาญ นายพรหมมินทร์ สายนาคำ คลินิกเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง |
|
ข้อดีของพันธุ์ไม้: |
เป็นสมุนไพรที่มีดอกสวยงาม สามารถปลูกเป็นสมุนไพรและไม้ประดับในคราวเดียวกันได้ดี |
ข้อแนะนำ: |
ข้อควรระวังคือ ในการจับต้องรากของเจตมูลเพลิงขณะเก็บเกี่ยวนั้น ต้องสวมถุงมือเสียก่อน เพื่อป้องกันอาการปวดแสบปวดร้อน เนื่องจากฤทธิ์ของสมุนไพรสด |
ข้อมูลอื่นๆ: |
ผู้ที่สนใจเรื่องการปลูกเจตมูลเพลิงแดง หรือต้องการซื้อต้นพันธุ์ หรือรากเจตมูลเพลิงแห้งขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณศุภกร ศรีคำแหง (ลุงโต้ง) ผู้แทนกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ ตำบลพลับพลาไชย บ้านเลขที่ 26 หมู่ที่ 8 ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี 72160 โทร. (089) 743-1009 |
หมายเหตุ: |
ราก มีสารพวก แนฟธาควิโนน (naphthaquinone) ชื่อ plumbagin, 3-chloroplumbagin, 6-hydroxyplumbagin, plumbaginol ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ไหม้ พอง เหมือนโดนไฟจึงได้ชื่อว่า "เจตมูลเพลิง" |
เอกสารอ้างอิง: |
|
รวบรวมโดย: |
นพพล เกตุประสาท (087-166-5251) หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม |
|