ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
Central Laboratory and Greenhouse Complex
ทรัพยากรพืชพรรณฯ
 
กระทุ่มนา
 
กระทุ่มนา
ชื่ออื่นๆ: กระทุ่มดง (กาญจนบุรี) กระทุ่มนา กระทุ่มน้ำ (กลาง) กาตูม (เขมร-ปราจีนบุรี) ตำ (เขมร-สุรินทร์) ตุ้มแซะ ตุ้มน้อย ตุ้มน้ำ (เหนือ) ถ่มพาย (เลย) ท่อมขี้หมู (สงขลา) ท่อมนา (สุราษฎร์ธานี) โทมน้อย (เพชรบูรณ์) กระท่อมขี้หมู
ชื่อวิทยาศาสตร์: Mitragyna diversifolia Wall. Ex. G. Don.
วงศ์: RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด: ไทย อินเดีย จีน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย
ลักษณะทั่วไป: เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง - ใหญ่ ทรงพุ่มกลมคล้ายเห็ดใกล้บาน แตกกิ่งก้านมากตั้งแต่โคนต้น
ฤดูการออกดอก: ในรอบปีที่ผ่านมาที่สวนไม้หอมฯ ออกดอก มิ.ย. - ก.ค. ดอกทยอยบานกระจายทั่วต้น
เวลาที่ดอกหอม: กลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน
การขยายพันธุ์:
เพาะเมล็ด สามารถทำได้แต่ใช้เวลานานกว่าการตอนกว่าจะได้เห็นดอก แต่ก็มีข้อดีที่มีระบบรากแก้วที่แข็งแรงกว่าและทรงต้นที่สวยกว่า
การตอนกิ่ง เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ง่ายที่สุด จากการทดลองอัตราการออกรากสูงมาก 80 - 100%
ปักชำ ยังไม่มีข้อมูล
ข้อดีของพันธุ์ไม้:
สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ชายน้ำ
ทรงพุ่มสวยงามโดยไม่ต้องมีการตัดแต่ง
ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน (3 ปีย้อนหลังไม่พบการแพร่ระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช)
ข้อแนะนำ :
เป็นพันธุ์ไม้หอมที่ต้องการพื้นที่ในการเจริญเติบโตมาก ผู้รวบรวมเคยพบที่สมุทรสงคราม รัศมีทรงพุ่มไม่ต่ำกว่า 5 ม. สูงกว่า 10 ม.
การปลูกบริเวณพื้นที่ริมน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีมาก
การปลูกในที่มีแดดไม่พอเพียงจะทำให้ได้ต้นที่มีทรงพุ่มไม่สวยงาม
ความสำคัญในด้านเศรษฐกิจมีไม่มาก แต่ในด้านการอนุรักษ์ก็ไม่ควรมองข้ามเนื่องจากไม้ชนิดนี้กำลังลดปริมาณลงเรื่อยๆ
ผู้ที่สนใจเริ่มปลูกไม้หอมและดินที่ปลูกไม่ดีนักและมีน้ำเพียงพอก็สามารถปลูกได้ แต่ไม่ควรปลูกมากเนื่องจากเป็นไม้หอมที่ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลอื่นๆ:
ใบ เมื่อเคี้ยวมีรสขม มีอัลคาลอยด์หลายชนิด ช่วยลดความดันโลหิตและออกฤทธิ์กดประสาทและกล้ามเนื้อในสัตว์ทดลอง
เปลือกต้น รสฝานร้อน รักษาโรคผิวหนังทุกชนิด แก้มะเร็งคุดทะราด แก้บิดมูกเลือด
หมายเหตุ:
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ต้น ผลัดใบ ขนาดกลาง สูง 8-15 ม. หูใบร่วมรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ยาว 1-1.5 ซม. มีขนด้านนอก สันกลาง หูใบร่วงง่าย
ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี ยาว 5-16 ซม. ปลายใบมนหรือกลม โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย แผ่นใบด้านล่างมีขนตามเส้นแขนงใบ เส้นแขนงใบข้างละ 10-15 เส้น เรียงเป็นเส้นทะแยงมุมชัน 10-30 องศา จากเส้นกลางใบ มีตุ่มใบเป็นขน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. มีขนสั้นนุ่ม
ดอก ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น เรียงคล้ายช่อกระจุกแยกแขนงสั้นๆ หรือคล้ายช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่ง ใบประดับขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายใบ ติดบนก้านช่อด้านล่าง ช่อดอกย่อยมี 5-15 ช่อ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. ใบประดับย่อยรูปเส้นด้าย ยาว 2-3 มม. ดอกจำนวนมาก มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันรูปถ้วย ยาวประมาณ 1.5 มม. ปลายจักรูปสามเหลี่ยมตื้นๆ หรือปลายตัด กลีบดอกสีเหลืองนวล เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 3-4 มม. มีขนหนาแน่นด้านใน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ยาว 2.5-3.5 มม. โคนด้านในมีขน เกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 1 มม. อับเรณูยาวประมาณ 2 มม. ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก รังไข่เกลี้ยง ยาวประมาณ 1.5 มม. ก้านและยอดเกสรเพศเมียยื่นเลยปากหลอดกลีบดอก 6-7 มม. บานออก ยอดเกสรยาวประมาณ 2 มม.
ผล ผลแบบผลแห้งแตก ช่อผลเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.3-1.8 ซม. ผลย่อย รูปไข่ ยาวประมาณ 5 มม. เกลี้ยง เมล็ดจำนวนมาก ขนาดเล็ก
เอกสารอ้างอิง:
1. ปิยะ เฉลิมกลิ่น.  2540.  ไม้ดอกหอม เล่ม 1.  สำนักพิมพ์บ้านและสวน. พิมพ์ครั้งที่ 5. 160 หน้า (26)
2. ปิยะ เฉลิมกลิ่น และคณะ.  2546.  หอมกลิ่นดอกไม้เมืองไทย.  จัดพิมพ์โดยโครงการ BRT บริษัท จิรวัฒน์ เอ็กเพรส จำกัด กรุงเทพฯ. 336 หน้า (9)
3. ราชบัณฑิตยสถาน.  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542.  นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น 2546. 1, 488 หน้า (43)
4. BGO Plant Database, The Botanical Garden Organization, Ministry of Environment and Natural Resources, Thailand
5. Tem Samitinand.  Thai Plant Names.  Revised Edition 2001.  810 p. (362)
6. The Encyclopedia of Plants in Thailand (สารานุกรมพืชในประเทศไทย)
รวบรวมโดย: นพพล เกตุประสาท  และไพร มัทธวรัตน์
หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม