|
ผกากรอง |
ชื่ออื่นๆ: |
ก้ามกุ้ง Kam kung, เบญจมาศป่า (Central); ขะจาย ตาปู, มะจาย Ma chai (Mae Hong Son); ขี้กา (Prachin Buri); คำขี้ไก่ (Chiang Mai)); ดอกไม้จีน (Trat); เบ็งละมาศ, สาบแร้ง (Northern); ไม้จีน (Chumphon); ยี่สุ่น (Trang); สามสิบ (Chanthaburi); หญ้าสาบแร้ง (Central, Northern); จีน ยี่สุ่น สามสิบ |
ชื่อสามัญ: |
Weeping Lantana, White Sage, Cloth of gold, Hedge Flower |
ชื่อวิทยาศาสตร์: |
Lantana camara Linn. |
วงศ์: |
VERBENACEAE |
ถิ่นกำเนิด: |
ประเทศอุรุกวัย อเมริกาใต้ |
ลักษณะทั่วไป: |
ไม้พุ่มเลื้อย สูง 2-3 เมตร ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม อาจมีหนามเล็กๆ ชี้ลง หรือไม่มีหนาม |
การขยายพันธุ์: |
เพาะเมล็ด ปักชำ |
ข้อดีของพันธุ์ไม้: |
เนื่องจากใบผกากรองมีกลิ่นฉุน และมีสารพิษที่เป็นพิษต่อระบบประสาทของแมลงจำพวกหนอนกระทู้ในแปลงผักที่ชื่อว่า แลนทานิน (Lantanin) จึงมีการนำมาใช้เป็นสมุนไพรสำหรับฆ่าและขับไล่แมลงศัตรูพืช โดยวิธีการเตรียมและใช้ผกากรองเป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช วิธีแรกให้ใช้เมล็ดผกากรองบด 1 กิโลกรัมผสมกับน้ำ 2 ลิตร และให้แช่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำมาใช้ฉีดพ่นเพื่อฆ่าหนอนกระทู้ในแปลงผัก ส่วนอีกวิธีให้ใช้ใบและดอกสด บดละเอียดหนัก 50 กรัม ผสมกับน้ำ 400 ซีซี แช่ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 : 5 แล้วนำไปใช้ฉีดพ่น |
ข้อแนะนำ: |
สาเหตุที่ผกากรองประสบความสำเร็จในการรุกรานไปยังพื้นที่ต่างๆ นั้น ประกอบด้วย |
1. |
มีสัตว์หลายชนิดที่กินผลของผกากรองแล้วแพร่กระจายเมล็ดไปยังพื้นที่อื่นเป็นวงกว้าง |
2. |
ต้นผกากรองมีความเป็นพิษ จึงไม่มีสัตว์มากินเป็นอาหาร |
3. |
ทนต่อสภาวะแวดล้อมที่หลากหลายทำให้การแพร่กระจายรวดเร็วยิ่งขึ้น |
4. |
การตัดลำต้น และการเปลี่ยนแปลงสภาพที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นผกากรองให้ขยายพันธุ์เร็วขึ้น |
5. |
ต้นผกากรองมีการสร้างสารยับยั้งการเจริญต่อพืชชนิดอื่น |
6. |
มีการเพิ่มจำนวนเมล็ดได้อย่างรวดเร็วมาก (ประมาณ 12,000 เมล็ด ต่อต้น ต่อปี) |
|
การแพร่กระจาย: |
ผกากรองบางสายพันธุ์เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วประเทศ พบการระบาดมากในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และกาญจนบุรี |
การควบคุมจำนวน: |
หากพื้นที่ไม่กว้างใหญ่นักให้ใช้วิธีถางและขุดเอารากออก อาจใช้สารเคมีในการกำจัด บางพื้นที่มีการขุดต้นผกากรองในธรรมชาติมาปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นไม้ประดับที่มีความสวยงามได้ |
ข้อมูลอื่นๆ: |
ส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก ราก เก็บได้ตลอดปี ใช้สด หรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ ใบ - รสขม เย็น ใช้แก้บวม ขับลม แก้แผลผื่นคันเกิดจากชื้น หิด ดอก - รสชุ่ม จืด เย็น ใช้แก้อักเสบ ห้ามเลือด แก้วัณโรค อาเจียนเป็นเลือด แก้ปวดท้อง อาเจียน แก้ผื่นคันที่เกิดจากชื้น และรอยฟกช้ำที่เกิดจากการกระทบกระแทก ราก - แก้หวัด ปวดศีรษะ ไข้สูง ปวดฟัน คางทูม ฟกช้ำที่เกิดจากการกระทบกระแทก
วิธีและปริมาณที่ใช้ ใบสด - 15-30 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมเหล้าทา หรือต้มน้ำ ชะล้างบริเวณที่เป็น ดอกแห้ง 6-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม รากสด - 15-30 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มน้ำอมบ้วนปาก แก้ปวดฟัน
ใน วัว ควาย กินพืชชนิดนี้เข้าไปจะทำให้ตับอักเสบในระยะที่ตับอักเสบนี้จะมีการสะสมและขับถ่าย bromosulfophthalein ซึ่งอาจสำคัญในการกำจัด lantic acid ออกจากกระแสโลหิต นอกจากนี้ยังพบว่ามีระดับ serum adenosine diaminase เพิ่มขึ้น ถ้าสัตว์ได้รับสารนั้นจะมีอาการดีซ่าน (jaundice) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะเป็นเด็ก อายุประมาณ 2-6 ขวบ ซึ่งรับประทานผลที่แก่แต่ยังไม่สุกเข้าไป อาการที่พบ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อไม่ประสานกัน มึนงง อาเจียน หายใจลึกแต่ช้า ม่านตาขยาย ตัวเขียว ท้องเดิน หมดสติและตายได้ในที่สุด เมื่อคนหรือสัตว์กินเข้าไปก่อให้เกิดอาการผิวหนังไวต่อแสง (Dermal Sensitivity to Sunlight หรือ Photesensitization) ผิวหนังมีรอยฟกช้ำดำเขียว (Lesion) ผิวหนังแตกในคน แต่ในสัตว์ เช่น วัว ควาย แกะ หมู เมื่อกินพืชกลุ่มนี้เข้าไป เกิดอาการน้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นเลย น้ำนมลดลง ขนไม่งามเท่าที่ควร ผิวหนังขาด pigment |
เอกสารอ้างอิง: |
|
รวบรวมโดย: |
นพพล เกตุประสาท1 สุดใจ วรเลข1 และญาณี มั่นอ้น2 1 หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ 2 หน่วยวิจัยโรคพืชและศาสตร์สัมพันธ์ ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม |
|